สวัสดีครับวันนี้ก็เป็นวันที่ฝนตกหนักอีกวันนะครับ
เมื่อมองไปนอกหน้าต่าง ผมจึงอยากแต่งเรื่องสั้นขึ้นมาครับก็เลยแต่งแล้วนำลงบล็อก
ก็ขอฝากเรื่องสั้นเรื่องนี้ด้วยนะครับ อ่านและคอมเมนต์กันได้นะครับ ขอบคุณครับ
เรื่องสั้น ฝนตก!!
นี่มันความฝันรึเปล่านะ!
ผมยืนอยู่ท่ามกลางสิ่งแปลกตาที่อยู่ตรงหน้า
"ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้เนี่ย บ้าจริง!!"
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้นะ
ต้องย้อนกลับไปเมื่อเช้านี้ วันที่ 1 มิถุนายน เวลา 5.30 น.
ผมตื่นนอนขึ้นมาด้วยความงัวเงียโดยนาฬิกาปลุกบนหัวเตียงที่ผมนอน ผมลุกขึ้นมาปิดมันตามปกติ
แล้วเหมือนจะนอนต่อแต่ผมก็นึกขึ้นได้ว่าเป็นเวรทำความสะอาดห้องเรียนแต่เช้า
จึงรีบไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วรีบลงไปกินข้าวเช้า
วันนี้พ่อก็ยังไปทำงานแต่เช้าแบบปกติ หลังจากผมไปโรงเรียนแม่ก็จะไปทำงานเช่นกัน
ตัวผมที่กินข้าวเช้าเสร็จก็รีบปั่นจักรยานไปโรงเรียนในทันที
โรงเรียนของผมนั้นอยู่ไม่ห่างจากบ้านของผมนัก
ถ้านั่งรถโดยสารไปก็ใช้เวลาประมาณ15นาที
แต่ถ้าปั่นจักรยานไปจะใช้เวลานานกว่านั้นประมาณ25-30นาที
เผอิญผมมีทางลัดที่หาเจอโดยบังเอิญ ในวันก่อน
ทางนี้ตรงออกจากบ้านเลี้ยวขวาตรงทางแยกเข้าซอยจะเป็นทางแคบสำหรับรถเล็กและคนเดินเท้า
เมื่อผ่านซอยออกไปจะเจอร้านสะดวกซื้อ
จากนั้นเลี้ยวซ้ายไปจะเจอทุ่งนากว้างๆสุดลูกหูลูกตา
แต่ถ้าปั่นจักรยานไปมันก็แปปเดียว เลยทุ่งนาไปจะเห็นบ้านคน
ไปอีกนิดก็จะเห็นโรงเรียนจากทางด้านหลังของโรงเรียน
ถ้ามาทางนี้จะถึงโรงเรียนภายใน 20 นาที
และทางนี้ก็บรรยากาศดีด้วย
ผมปั่นจักรยานมาตามทางมาเรื่อยๆ
และเมื่อผ่านทุ่งนาในตอนเช้าของฤดูฝนจะมีลมเย็นๆของทุ่งนาที่พัด
ต้นข้าวพริ้วไหวไปมา
ไอเย็นที่ถูกพัดมากับสายลมอ่อนๆและแสงแดดยามเช้าทำให้ผมที่ยังไม่หายง่วงนอนสักเท่าไหร่สดชื่นขึ้น
ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดและปั่นจักรยานไปเรียนอย่างสดใส
ธรรมชาติบริสุทธิ์ในบริเวณแห่งนี้เป็นอีกหลายๆที่
ที่ยังไม่ได้ถูกทำลายและกลายเป็นเมืองไป เนื่องจาก
ชาวเมืองไม่ทิ้งความเป็นวิถีชีวิตดังเดิมของตนไป จึงทำให้วิถีชีวิตแบบอยู่กับธรรมชาติยังไม่หายไปนั้นเอง
ผมที่ปั่นจักรยานมาถึงทุ่งนา ถ้าผ่านไป
ด้านหน้าก็จะเจอบ้านคนและถึงโรงเรียนในท้ายที่สุด
แต่ตอนนี่ต้องเจอกับปัญหาคือสะพานข้ามลำธารเล็กๆ ด้านหน้าผมเกิดมีป้ายเขียนว่า
'ชำรุด โปรดใช้สะพานถัดไป'
“ ?! ”
"เฮ้ย! แล้วสะพานที่ว่านี่
อยู่ไหนเนี่ย?!"
ผมลงจากจักรยานและจอดไว้ข้างทาง
แล้วเดินไปดูลำธาร ลำธารเล็ก แต่ตัวถนนนั้นอยู่สูงกว่าพอควร
มันไม่ดีแน่กับการยกจักรยานแล้วเดินลุยไปเพราะรองเท้าผ้าใบต้องเปียกแน่นอน
หลังจากที่ลองมองหาอยู่สักครู่ก็ไม่เห็นวี่แววของสะพานอีกอันเลยแม้แต่น้อย
"ท่าจะไกลเลยแฮะ สะพานใกล้ๆเนี่ย!
...ว่าแต่มันอยู่ทางไหนล่ะ!! ซ้ายหรือขวา"
แต่คิดว่าทางไหนก็คงเหมือนกันแหละ
เพราะยังไงก็ต้องมีสะพานให้คนข้ามทั้งสองทางอยู่แล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงจะลองสุ่มเลือกสักทางหนึ่งเพื่อข้ามลำธารไปให้ถึงโรงเรียน
หลังจากการเลือกสุ่มๆผมเลือกที่จะไปทางขวา เมื่อเลือกได้แล้วจึงไม่รอช้า
ขึ้นจักรยานและปั่นไปในทันที ผมปั่นมาเรื่อยๆ
สองข้างทางที่ผ่านมานั้นจากเป็นทุ่งนาก็เห็นต้นไม้ใหญ่ข้างทางที่ขึ้นเองตามธรรมชาติกำลังถูกลมในยามเช้านี้พัด
กิ่งไม้ไหว ๆ
รู้สึกเหมือนลมจะแรงขึ้นแฮะ!
เมื่อคิดอย่างนั้นผมก็เริ่มมองขึ้นบนท้องฟ้า
มีเมฆกลุ่มกำลังเคลื่อนจากด้านหลังมาทางนี้
แต่ผมต้องไปทำเวรช่วงเช้าหนิ!! เมื่อคิดได้เช่นนั้น
ผมจึงเร่งความเร็วขึ้นทันที ปั่นตามทางไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งเริ่มมองเห็นสะพานที่อยู่ด้านหน้าแล้วสิ
"ใกล้แล้วๆ!!"
ผมมาถึงสะพาน
แล้วก็ลงจากจักรยานเพื่อสำรวจสะพานที่ผมเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก
เบื้องหน้าผมเป็นสะพานที่ทำจากหินซึ่งดูดีกว่าสะพานไม้เมื่อกี้นี้หลายขุม
ผมยืนมองลำธาร เบื้องล่าง น้ำในลำธารเล็กๆที่ไหลผ่านสะพานไป น้ำใสจนเห็นเม็ดทราย
หิน และสัตว์น้ำเล็กๆในลำธารอย่างชัดเจน
หลังจากนั้นผมจึงหันมามองขึ้นสู่กลุ่มเมฆด้านบน แล้วก็ต้องประหลาดใจ
“ ?! ”
เมื่อกี้อากาศยังดีๆอยู่เลย ทำไมเป็นแบบนี้ละ?!
ท้องฟ้าที่มีกลุ่มเมฆสีขาวกลุ่มใหญ่นั้น
เริ่มจะกลายเป็นสีดำซะแล้ว ความกังวลเริ่มเข้ามา
แย่แน่เลย!! ถ้าไม่รีบมีหวังเสร็จแน่ๆ
ผมปั่นข้ามสะพานมาและเร่งความเร็วขึ้นอีกนิด
เมื่อข้ามมาแล้ว ผมรีบย้อนทางเดิมกลับไป
ไปสู่ฝั่งที่มีเมฆกลุ่มดำขนาดใหญ่ลอยอยู่และขนาดของมันไม่มีท่าทีว่าจะหยุดการกินขนาดความกว้างบนท้องฟ้าได้เลย
เมฆดำแผ่ขนาดออกไปเรื่อยๆ
ตอนนี้ผมมาถึงแถวที่มีบ้านคนแล้ว และถ้าไปอีกนิดก็จะเห็นหลังโรงเรียน
อย่าพึ่งนะ!! อย่าพึ่งนะ!!
ผมสวดภาวนาไปขณะเหลือบมองฟ้าเบื้องหน้า
แต่คำภาวนาของผม มันอาจจะส่งไปไม่ถึงหรืออย่างไร แสงสว่าง วาบกระพริบขึ้น
อย่างรวดเร็วไปแวบหนึ่ง
“ เปรี้ยงงงง!!! ”
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นขึ้น
ผมชักสังหรณ์ใจไม่ดีซะแล้วสิ
แต่ผมก็ได้แต่เร่งความเร็วขึ้นอีก
ถึงแม้ถนนที่ว่างเปล่าไม่มีใครสัญจรแบบนี้จะสะดวกดีก็เถอะ แต่ด้านบนนี่นะสิ
กดดันผมอีกแล้ว ผมรู้สึกได้ว่ามีหยดน้ำตกใส่หัวผมหนึ่งหยด
ผมจึงมองเมฆจากด้านหน้าและหันหลังกลับไปมองพบว่าด้านฝั่งทางซ้ายของสะพานที่ห่างออกไปไกลๆนู้น
บริเวณนั้นกลายเป็นสีขาวและเห็นไอน้ำที่บริเวณนั้น ผมคาดว่าอีกไม่นานนักหรอก
บริเวณที่ผมอยู่ก็น่าจะเป็นแบบเดียวกัน แต่ผมตอนนี้นั้นเห็นด้านหลังโรงเรียนแล้ว
และก็ใกล้ขึ้นเรื่อยๆแล้ว
อีกนิดเดียว !!!
แต่เพราะตอนนี้ยังหกโมงนิดๆ ยังเช้าอยู่มากๆ
จึงยังไม่เห็นเพื่อนๆ เลย
และสภาพอากาศแบบนี้ก็ไม่น่าจะเห็นหรอกนะ
ผมใกล้เข้าเส้นชัยแล้ว อีกนิดเดียวๆ !!
“ ?! ”
แต่สภาพการณ์ก็เลวร้ายหนักยิ่งขึ้นไปอีก
เม็ดน้ำที่ก่อนหน้าตกใส่ กลับเพิ่มขึ้นอีกหลายต่อหลายหยด
หยดลงมา เปาะแปะๆ ราวกับจะส่งสัญญาณว่า
'ฝนจะตกแล้วนะ รีบหาที่หลบเร็วๆ'
ผมจึงก้มหน้าก้มตาปั่นอย่างช่วยไม่ได้ต่อไปประมาณอีก 500 เมตรโดยประมาณด้วยสายตาของผม
ด้านหน้าเป็นทางตรง
“แฮ่กๆๆ”
ความเหนื่อย
และความล้าของร่างกายเริ่มแสดงผลแล้ว
เริ่มมีความรู้สึกแปลกๆที่ต้นขาทั้ง 2 ข้างเนื่องจากปั่นด้วยความเร็วมาจากสะพานไม้ที่ชำรุดไปอ้อมสะพานหินที่อยู่ห่างไปไกลโข
แล้ววนกลับมาที่สะพานไม้ ผ่านทุ่งนาไปอีกนิด
ย่านบ้านคนและตอนนี้กำลังจะถึงโรงเรียน
“ อีกนิดเดียวเว้ยยยย !!” ผมตะโกนโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
อีกนิดเดียว ประตูโรงเรียนอยู่แค่เอื้อม
แค่เอื้อมแล้วววววว
ผมปลุกแรงใจของตนขึ้น
เป้าหมายคือหลบฝนใต้อาคารเรียนที่ใกล้ที่สุดเนื่องจากแถวนี้ไม่มีอะไรกำบังฝนได้เลย
ผมมองไปด้านหน้าของผม สิ่งที่เห็นคือรั้วกำแพง
ผมเห็นประตูโรงเรียนแล้ว ตอนนี้รู้สึกมีลมแรงจากทิศไหนก็ไม่รู้พัดมาอีกด้วย
ซึ่งผมปั่นต้านลมมาสักพักแล้ว เพียงแต่ไม่ทันสังเกตเท่านั้นเอง
“ เปรี้ยงงงง!! ”
ท้องฟ้าเบื้องบนส่งเสียงคำรามอีกรอบหนึ่ง
แต่ครั้งนี้ไม่ได้มาแค่เสียงเท่านั้น
ยังมาพร้อมกับสายฝนเม็ดใหญ่ที่จะพัดพาความชุ่มชื่นสู่เบื้องล่างแบบเต็มๆไม่มีกั๊กไม่มีหวง
เนื่องจากผมเร่งปั่นมาเป็นระยะทางที่ไกลกว่าทุกๆวัน
สำหรับผมที่ไม่ค่อยถูกโรคกับการออกกำลังกายสักเท่าไหร่
ตอนนี้เลยเริ่มที่จะหมดแรงแล้ว
แต่ก็ไม่มีเวลามาถอดใจยอมแพ้ในตอนนี้
ผมฝืนสังขารเร่งความเร็วและขี่ฝ่าสายฝนที่เริ่มถาโถมลงมาอย่างหนักหน่วงกว่าก่อนหน้านี้
ผ่านเข้าประตูโรงเรียนเข้าไปและปั่นลัดผ่านกลางสนามบอลซึ่งมันใกล้กว่าอ้อมสนามไป
“ อว๊ากกกก!!!! ”
ผมส่งเสียงคำรามขึ้นอีกครั้งท่ามกลางสายฝนที่ตกอย่างหนักหน่วง
เพื่อสร้างแรงใจและเค้นพลังเฮือกสุดท้าย
เมื่อปั่นบนหญ้าที่เปียกแฉะ
ดินที่กลายเป็นโคลนกระเด็นติดทั่วทั้งหน้าแข้งของผม
แต่ผมก็ไม่สนใจมัน ตั้งหน้าตั้งตาฝ่ามันไปทั้งอย่างนั้น
แลดูเป็นภาพสโลโมชั่นแค่ไม่กี่นาที
เม็ดฝนที่ตกลงมาค่อยๆ
กระทบกับผมซึ่งกำลังปั่นจักรยานฝ่าสายฝนอยู่กลางสนามบอลที่ขรุขระ
ตัวจักรยานที่มาด้วยความเร็วกระเด้งขึ้นลงๆอย่างเป็นจังหวะ และในทันใดนั้นเอง
จักรยานที่ผ่านหลุมขรุขระก็เริ่มทำให้ผมเสียหลักการทรงตัว ผมกระเด็นตกจักรยานไป
“!”
ร่างของผมที่กระเด็น ตกลง
น้ำโคลนบนพื้นสนามบอลกระจายแผ่ออกไปรอบข้าง
ร่างกายของผมมาถึงขีดจำกัดแล้ว ความเหนื่อย
ความล้าและความเจ็บเข้ามาสู่ผม
อาการปวดต้นขาที่เป็นมาก่อนหน้านี้เริ่มมีอาการเจ็บเข่าแซรกเข้ามา
"โอ๊ยย!!"
ผมร้องด้วยความเจ็บปวด
ผมมองขึ้นไป สู่สายฝนเบื้องบน
เป็นภาพสโลโมชั่นที่เม็ดฝนตกใส่หน้าผมแบบที่ละหยดๆในเสี้ยววินาที
ผมปาดเลือดที่ไหลจากเข่าและพยายามใช้มือข้างหนึ่งบีบที่ต้นขาของตนเองทั้ง 2 ข้าง
แม้สายฝนและระยะทางจะเป็นดังอุปสรรคที่ขวางอยู่
แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้แม้จะอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่
เหนื่อย
ล้ากับการออกกำลังอย่างที่ไม่เป็นเคยมาก่อน ผมลุกขึ้น ยกจักรยานคู่ใจขึ้นมา
ยิ้มให้กับตัวเองท่ามกลางสายฝน
และปั่นจักรยานออกอีกครั้งเพื่อไปสู่ชัยชนะที่รอผมอยู่เบื้องหน้าต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น